วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Moore"s law

Moore"s law



กฎของมัวร์ คือ  กฏที่อธิบายแนวโน้มของการพัฒนาฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ในระยะยาว มีความว่า จํานวนทรานซิสเตอร์ที่สามารถบรรจุลงในชิพจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกสองปี  moore's law  เป็น  ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวมจำนวนของทรานซิสเตอร์ ต่อตารางนิ้วบน  แผงวงจรรวม  มีสองเท่าทุกปีตั้งแต่วงจรรวมถูกคิดค้น  มัวร์เคยคาดการณ์ว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไปในอนาคตอันใกล้  ในปีถัดไป การก้าวชะลอตัวลงเล็กน้อย   แต่ความหนาแน่นของข้อมูลได้เท่าประมาณทุก 18 เดือนกอร์ดอน มัวร์  เป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทอินเทล ได้ใช้หลักการสังเกตตั้งกฎของมัวร์ ขึ้นซึ่งเขาบันทึกไว้ว่า ปริมาณของทรานซิสเตอร์บนวงจรรวม



ในปี พ.ศ. 2490 วิลเลียมชอคเลย์และกลุ่มเพื่อนนักวิจัยที่สถาบัน เบลแล็ป ได้คิดค้นสิ่งที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกมาก เป็นการเริ่มต้นก้าวเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิคส์ที่เรียกว่า โซลิดสเตทเขาได้ตั้งชื่อสิ่งที่ ประดิษฐ์ขึ้นมาว่า"ทรานซิสเตอร์" แนวคิดในขณะนั้นต้องการควบคุมการไหลของกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถทำได้ดีด้วยหลอดสูญญากาศแต่หลอดมี ขนาดใหญ่เทอะทะใช้กำลังงานไฟฟ้ามากทรานซิสเตอร์จึงเป็นอุปกรณ์ที่นำมาแทนหลอดสูญญากาศได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดอุตสาหกรรมสาร กึ่งตัวนำตามมา และก้าวหน้าขึ้นเป็นลำดับ 



พ.ศ. 2508  อุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์สารกึ่งตัวได้แพร่หลาย  มีบริษัทผู้ผลิตทรานซิสเตอร์จำนวนมากการประยุกต์ใช้งานวงจรอิเล็กทรอนิกส์  กว้างขวางขึ้น  มีการนำมาใช้ในเครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ของใช้ในบ้าน จึงถึงในโรงงานอุตสาหกรรม  การสร้างทรานซิสเตอร์มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง บริษัท แฟร์ซายด์  เซมิคอนดัคเตอร์เป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้เทคโนโลยีการผลิต ทรานซิสเตอร์แบบ   planar หรือเจือสารเข้าทางแนวราบ  เทคโนโลยีแบบของการสร้างไอซีในเวลาต่อมา จากหลักฐาน พบว่า บริษัทแฟร์ซายด์ได้ผลิตพลาน่าทรานซิสเตอร์ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2502 และบริษัทเท็กซัสอินสตรูเมนต์ได้ผลิตไอซีได้ในเวลาต่อมา และกอร์ดอนมัวร์กล่าวไว้ว่า จุดเริ่มต้นของกฎของมัวร์เริ่มต้นจากการเริ่มมีพลาน่าทรานซิสเตอร์


ขอขอบคุณข้อมูลเเละรูปภาพจาก





บิตตรวจสอบ


บิตตรวจสอบ (Parity Bit)

             เลขฐานสองที่ใช้ในคอมพิวเตอร์มีอัตราความผิดพลาดต่ำ เพราะมีค่าความเป็นไปได้เพียง 0 หรือ 1 เท่านั้น เเต่ก็อาจเกิดข้อบกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ ดังนั้น บิตตรวจสอบ จึงเป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1 บิต ซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้ตรวจสอบความเเม่นยำและความถูกต้อง
           
             สำหรับบิตตรวจสอบ มีการตรวจสอบ 2 วิธี คือ
1.การตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Even Parity)
            เช่น 1001 0010  เติม 1
2.การตรวจสอบบิตภาวะคู่ (Odd Parity)
            เช่น 1001 0010  เติม 0

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัสแทนข้อมูล

^^รหัสแทนข้อมูล^^


-รหัส Ascll
เรียกอีกอย่างว่า "รหัสมาตราฐานของสหรัฐอเมริกาเพื่อการเเลกเปลี่ยนสารสนเทศ"
(American Standard Code for Information Interchange) เป็นรหัสอักขระที่ประกอบด้วยอักษรละติน เลขอารบิก เครื่องหมายวรรคตอน และสัญลักษณ์ต่างๆ โดยแต่ละรหัสจะแทนด้วยตัวอักขระหนึ่งตัว เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป รหัสนี้ได้มาจากรหัสขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ (International Standardization Organization: ISO) ขนาด 7 บิท ซึ่งสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกันได้ถึง 128 รหัส (ตั้งแต่ 000 0000 ถึง 111 1111)
                 โดยกำหนดให้ 32 รหัสแรกเป็น 000 0000 ถึง 001 1111 ทำหน้าที่เป็นสั่งควบคุม เช่น รหัส 000 1010 แทนการเลื่อนบรรทัด (Line Feed)ในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น และอีก 96 รหัสถัดไป (32-95) ใช้แทนอักษรและสัญลักษณ์พิเศษอื่นรหัส ASCII ใช้วิธีการกำหนดการแทนรหัสเป็นเลขฐานสิบ ทำให้ง่ายต่อการจดจำและใช้งาน นอกจากนั้นยังสามารถเขียนในรูปของเลขฐานสิบหกได้อีกด้วย






-รหัส Unicode
                เป็นรหัสมาตราฐานอุตสาหกรรมที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แสดงผลและจัดการข้อความธรรมดาที่ใช้ในระบบการเขียนของภาษาส่วนใหญ่ในโลกได้อย่างสอดคล้องกันยูนิโคดประกอบด้วยรายการอักขระที่แสดงผลได้มากกว่า 100,000 ตัว พัฒนาต่อยอดมาจากมาตรฐานชุดอักขระสากล (Universal Character Set: UCS) ยูนิโคดสามารถนำไปใช้งานได้ด้วยชุดอักขระแบบต่าง ๆ ชุดอักขระที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ UTF-8(ใช้ 1 ไบต์ สำหรับอักขระทุกตัวในรหัสแอสกีและมีค่ารหัสเหมือนกับมาตรฐานแอสกี หรือมากกว่านั้นจนถึง 4 ไบต์สำหรับอักขระแบบอื่น)
                  ยูนิโคดคอนซอร์เทียม (Unicode Consortium) ซึ่งเป็นองค์กรไม่เเสวงผลกำไรเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนายูนิโคด องค์กรนี้มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการแทนที่การเข้ารหัสอักขระที่มีอยู่ด้วยยูนิโคดและมาตรฐานรูปแบบการแปลงยูนิโคด (Unicode Transformation Format: UTF) แต่ก็เป็นที่ยุ่งยากเนื่องจากแผนการที่มีอยู่ถูกจำกัดไว้ด้วยขนาดและขอบเขต ซึ่งอาจไม่รองรับกับสภาพแวดล้อมหลายภาษาในคอมพิวเตอร์
                  ความสำเร็จของยูนิโคดคือการรวมรหัสอักขระหลายชนิดให้เป็นหนึ่งเดียว นำไปสู่การใช้งานอย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลต่อการแปลภาษาของซอฟเเวร์คอมพิวเตอร์ นั่นคือโปรแกรมจะสามารถใช้ได้หลายภาษา มาตรฐานนี้มีการนำไปใช้เป็นเทคโนโลยีหลักหลายอย่าง อาทิ เอกซ์เอ็มแอล ภาษาจาวาดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก และระบบปฏิบัติการใหม่สมัยใหม่

ขอขอบคุณเนื้อหาจาก

  แบบฝึกหัด
จงบอกว่า ชื่อ-สกุล ที่เป็นภาษาอังกฤษ(พิมพ์ใหญ่) แทนด้วยรหัส Ascll ใดบ้าง มีขนาดกี่ไบต์
            
 TANAWAN VETCHAPHAN
แทนด้วยรหัส Ascll

 TANAWAN  
 T = 01010100 
 A = 01000001
 N = 01001110
 A = 01000001
W = 01010111
 A = 01000001
 N = 01001110

         01010100 01000001 01001110 01000001 01010111 01000001 01001110 
 VETCHAPHAN
 V = 01010110
  E = 01000101
 T = 01010100
 C = 01000011
 H01001000
 A = 01000001
 P = 01010000
 H = 01001000
 A = 01000001
 N = 01001110

         01010110 01000101 01010100 01000011 01001000  01000001 01010000 01001000 01000001 01001110

 TANAWAN VETCHAPHAN
                010101000100000101001110010000010101011101000001010011100100000001010110010001010101010001000011010010000100000101010000010010000100000101001110

มีขนาด 18 ไบต์ค่ะ :)